เท่าที่ศึกษามา ครูบาอาจารย์ ท่านแนะนำว่าอย่างนี้
1 ทำทานด้วยความศรัทธา
2 รักษาศีลให้บริสุทธ์ คนที่จะหน้าตาดี ต้องไม่มีวิบาก ของปาณาติปาต(ฆ่า สั ต ว์ ทำร้ายผู้อื่น) , กาเมสุมิจฉาจาร(ประพฤติผิดในกาม) มาหน่วงรั้งไว้ในชาติภพนั้นๆ
3 ทำบุญใหญ่อะไรสักอย่างหนึ่ง เช่นสวดมนต์ นั่งสมาธิจนได้ณาน เมื่อจิตมีกำลังมาก แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ขอแสงสว่างด้านหน้าตา
4 ไม่เป็นผู้มักโกรธ(ข้อนี้wระ พุ ท ธ เจ้าบอกไว้)
5 ถวายของสวยงาม เครื่องหอม ดอกไม้สวยๆให้wระ แล้วอธิษฐานกำกับไว้เรื่องนั้นโดยเฉพาะ
อยากสวย รวย ฉลาดสมปรารถนา มีดวงตาเห็นธรรม ให้ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา จะได้สมดังใจหมายค่ะ
ศึกษาเพิ่มเติม
“ทำไมจึงเกิดมาหน้าตาดี”
มีคำตอบ ในwระ พุ ท ธ ศ า ส น า
เwราะประกอบเหตุในการสร้างบุญดังนี้
“การสร้างบุญด้วยศีล”
ศีลได้ชื่อว่าเป็นทางมาของรูปสมบัติ ถ้าหากอยากจะมีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณที่ดีสวยงามสมกับเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ก็ควรจะรักษาศีล เwราะเหตุใดจึงมีคำกล่าวเช่นนี้ ก็เwราะเป็นไปตามหลักกฎแห่งกรรมที่wระ พุ ท ธ เจ้าทรงประทานไว้ให้กับสุภมาณพในwระไตรปิฎกจูฬกัมมวิภังสูตรเช่นเดียวกัน
สุภมานพถามว่า “ทำไมบางคนเกิดมารูปร่างไม่สวย ส่วนบางคนรูปร่างสวย”
wระ พุ ท ธ เจ้าได้ทรงตรัสตอบว่า“คนบางคนเป็นคนขี้โกรธ มีความโกรธเป็นเจ้าเรือน” ก็คือ เมื่อสิ้นอายุขัยไปแล้วจึงไปเกิดในอบายภูมิหรือสถานที่ลำบาก เมื่อหมดจากภพนั้นได้มาเกิดเป็นคนอีกครั้ง เwราะความที่เป็นคนขี้โกรธอยู่เสมอ ชาตินี้จึงเป็นคนที่มีหน้าตาขี้ริ้ว ขี้เหร่ ไม่สวยงามอัปลักษณ์”
“ส่วนเหตุที่คนเกิดมานั้นรูปสวย” ก็คือ เป็นเwราะในชาติปางก่อนเป็นคนดีมีศีลและมีเมตตา ไม่เป็นคนขี้โกรธเจ้าอารมณ์จึงส่งผลให้เขาผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม และสุดท้าย สุภมาณพก็ถามว่า “ทำไมคนบางคนจึงเกิดมาโง่ คนบางคนเกิดมาฉลาด”
wระ พุ ท ธ เจ้าได้ทรงตรัสตอบว่า คนที่มีสติปัญญาไม่ดีเwราะเมื่อชาติปางก่อนนั้น เป็นคนไม่เข้าไปไต่ถามหาความรู้ต่อสมณะพราหมณ์ต่อผู้ประพฤติดี ผู้รู้คุณธรรมหรือมีความประพฤติชอบดูถูกดูแคลนผู้ประพฤติธรรมรวมถึงคนอื่น ๆ ชอบดื่ม สุ ร า ให้ขาดสติอยู่เป็นประจำเมื่อเกิดมาจึงเป็นคนโง่เขลาปัญญาทึบหรือแม้แต่ พิการทางปัญญา
นี่แหละคือเหตุผลที่เราต้องรักษาศีลให้เป็นปกติ แล้วศีลแปลว่าอะไร ?
คำว่า “ศีล” หากในทางความหมายของภิกษุก็คือ “ข้อห้ามในการกระทำที่จะงดเว้นจากความชั่วความทุจริตและสิ่งที่ไม่ดีทุกประการ” wระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวาซึ่งเป็นธรรมเสนาบดีในwระสัมมาสัม พุ ท ธ เจ้าท่านกล่าวเอาไว้ใน คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ว่า
“ศีล คือ เจตนา ความตั้งใจที่จะงดเว้นจากกายทุจริต 3 อันได้แก่ ไม่ฆ่า สั ต ว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม และ วจีทุจริต 4 คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดเพ้อเจ้อ”
ศีลนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้สงบเwราะเป็นคุณธรรมที่ช่วยรักษา กาย และวาจาให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเมื่อกายและวาจาสงบเรียบร้อยก็จะพลอยทำให้ใจสงบปราศจากความกังวลไปด้วย
ในบทwระราชนิพนธ์ของสมเด็จwระสังฆราชฯ wระองค์ท่านก็กล่าวให้ความหมายของคำว่าศีลแปลว่า “ปกติ” หมายถึงสิ่งที่ต้องรักษาเพื่อความเป็นปกติของความเป็นมนุษย์หากมนุษย์คนใดที่ไม่มีศีลก็ไม่เรียกว่ามนุษย์แต่จะเรียกว่า “คน” ที่แปลว่า ยุ่ง แทน ศีลนั้นมี 3 ประเภทหรือ 3 ระดับอันได้แก่
ศีลระดับธรรมดาได้แก่ ศีล 5 ศีลระดับกลางมัชฌิมาศีลหรือ อุโบสถศีล คือ ศีล 8 และศีล 10 และ ปาริสุทธิศีลเป็นมหาศีลหรือ ศีลขั้นสูงสุดอย่าง ปาฏิโมกข์สังวรศีล 227 ข้อ ของwระภิกษุ ซึ่งในที่นี้ จะขอขยายความเฉพาะ ศีล 5 ที่เป็นศีลขั้นพื้นฐานสำหรับความเป็นมนุษย์ที่จะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
ในที่นี้ขออธิบายเฉพาะเพียงศีล 5 ที่เราควรจะสร้างและรักษาไว้ให้ดี เนื่องจากเป็นข้อปฏิบัติที่มีความเหมาะสมสำหรับคนปกติธรรมดา หากใครอยากจะถือศีลที่มากกว่านี้ก็ย่อมทำได้ เพียงแต่การถือศีลมากข้อแบบwระสมณะนั้นจะทำให้เกิดความไม่สะดวกบางประการในการดำรงชีวิต เช่น การไม่อาจจะหยิบจับหรือรับเงินทองได้ ซึ่งในความเป็นปกติของมนุษย์ธรรมดาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องถือศีลมากขนาดนั้น
ศีล 5 คืออะไร ?
สำหรับผู้ที่นับถือ ศ า ส น า พุ ท ธ ก็คงจะคุ้นเคยเวลาที่wระท่านให้กล่าวอาราธนาศีล 5 แล้วเราก็รับศีลไป แต่บางทีก็ไม่เคยเข้าใจหรือไม่เคยรู้ในความหมายที่แท้จริงเรากล่าวรับไปตามเรื่องอย่างนั้นเอง
ความจริงแล้ว ศีล 5 เป็นสิ่งที่มนุษย์เราช่วยกันบัญญัติขึ้นมาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบจากสามัญสำนึกที่รู้ว่า เมื่อเรามีความรักตนเอง มีความต้องการความสุข มีความต้องการความ ป ล อ ด ภั ย อย่างไรในชีวิต คนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ศีล 5 จึงมีความหมายว่า หลักมนุษยธรรม หรือ ธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์
ถือศีลเป็นการสร้างบุญได้อย่างไร ?
ในหลักทางมาแห่งบุญข้อที่ 2 กล่าวถึง ศีลมัย หรือ บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีลก็หมายความว่า เมื่อใดที่เรางดเว้นจากความชั่วก็เป็นการสร้าง “กรอบ” ที่จะไม่เรานำร่างกายหรือวาจาไปเบียดเบียนคนอื่นได้เป็นบุญที่ใหญ่กว่าทาน ซึ่งwระ พุ ท ธ องค์ตรัสว่า การถือศีลนี่เป็นมหาทานที่ยิ่งใหญ่กว่า ทานใดๆ ก็เwราะว่าถือว่าเราได้ “ให้”
ให้ที่ว่าคือให้ชีวิตและความ ป ล อ ด ภั ย หากถือศีลข้อที่ 1 ได้ให้ในความ ป ล อ ด ภั ย ในทรัพย์สินของผู้อื่นคือการถือศีลข้อที่ 2 ให้ในความ ป ล อ ด ภั ย ในสถาบันครอบครัวของคนอื่นก็คือศีลข้อที่ 3 ให้ในความจริงใจที่จะมอบให้แก่คนอื่นก็คือศีลข้อ 4 และให้ในความ ป ล อ ด ภั ย ในทุกสิ่งทุกประการคือศีลข้อที่ 5 หากเรารักษาศีลได้ดีจึงทำให้เราได้บุญด้วยมหาทานอันยิ่งใหญ่
นอกจากกายและวาจาจะไม่ได้เบียดเบียนใครแล้วบุญที่เกิดขึ้นนี้จะช่วยชำระจิตใจให้สะอาดและมีพลังยิ่งใจสะอาดบริสุทธิ์มากก็ยิ่งมีพลังมากจะดึงดูดเอาสิ่งที่ดีงามมาสู่ชีวิต
เส้นทางบุญ, Pathofboon เรียบเรียงโดย คนบ้านนอก